Wednesday 18 May 2011

PEPSI โล่งอก "เอสบีเค" ชนะ เดินเกมยึดอำนาจบริหารคืน

ถึงวันนี้ดูเหมือน โชคจะเข้าข้าง "เป๊ปซี่" บ้างแล้ว หลังจากต้องเป็นฝ่ายปราชัยมาโดยตลอด นับตั้งแต่วันที่มีการประกาศทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) หุ้นเสริมสุข เมื่อเมษายนปีที่แล้ว

ล่าสุดเมื่อศาลแพ่งได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา จากที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยรายหนึ่งของบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลกล่าวหาว่าบริษัท เอสบีเค เบฟเวอเรจ จำกัด เป็นนอมินีของกลุ่มเป๊ปซี่โค จนเป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาในวันที่ 5 เมษายน ระงับไม่ให้บริษัทใช้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา รวมทั้งให้ระงับการบันทึกชื่อของบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเสริมสุข

นั่นหมายความว่านับจากนี้ เอสบีเคฯซึ่งถือหุ้นในเสริมสุข 9.13% มีสิทธิ์ที่จะยกมือโหวตออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อย่างเต็มที่ แม้จะไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าเอสบีเคฯ สังกัดฝ่ายใด แต่สิ่งที่ชัดเจนคือคำยื่นฟ้องของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ทำให้ฟันธงได้ว่า เอสบีเคฯไม่ใช่ฝั่งของผู้ถือหุ้นคนไทยในเสริมสุข

เพียงเท่านี้ ก็ถือเป็นข่าวดีกับทางกลุ่มเป๊ปซี่ โค เพราะอย่างน้อยนับแต่นี้ในการประชุมผู้ถือหุ้นเสริมสุข เป๊ปซี่ยังสามารถลุ้นในการกำชัยชนะจากการโหวตลงมติในประเด็นต่าง ๆ นั่นเพราะหากเอสบีเคฯยกมือให้กับทางฝั่งเป๊ปซี่แล้ว ก็จะทำให้เป๊ปซี่สามารถกุมเสียงข้างมากในเสริมสุขได้ทันที



นั่นหมายถึงการประชุมวิสามัญ ผู้ถือหุ้นจากนี้ ที่มีความเป็นไปได้สูงที่เป๊ปซี่ จะใช้สิทธิผู้ถือหุ้นเกิน 20% เรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาแผนดำเนินธุรกิจในอนาคต (Future Plan) ที่ เอื้อประโยชน์กับทางกลุ่มเป๊ปซี่มากขึ้น

มากที่สุดก็คือการยึดอำนาจบริหารในเสริมสุขคืนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นคนไทย หลังจากได้เปรียบเรื่องสัดส่วนผู้ถือหุ้น

คำสั่งศาลต่อกรณีของเอสบีเคฯ จึงมีนัยสำคัญที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้กับกลุ่ม เป๊ปซี่ รวมทั้งบีบให้เกมการต่อสู้ของผู้ถือหุ้นคนไทยในเสริมสุขต้องเปลี่ยนไปด้วย ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับ เป๊ปซี่ได้หายใจสะดวกมากขึ้น

เพราะนั่นทำให้ทางเดินของกลุ่มเป๊ปซี่เปิดกว้างขึ้นเพราะเท่ากับโอกาสที่จะยึด "เสริมสุข" คืนจากฝั่งผู้ถือหุ้นคนไทยไม่ได้หมดหนทางไปเสียทีเดียว

หลังจากนี้เป๊ปซี่อาจเลือกทำ เทนเดอร์ออฟเฟอร์อีกครั้ง ซึ่งจะครบกำหนด 1 ปีในช่วงกลางเดือนมิถุนายนหลังจากคำเสนอซื้อรอบแรกไม่สำเร็จ

แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุด หากพิจารณาจากคำกล่าวของ "อุมราน เบบา" ประธานภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เป๊ปซี่โค ที่ระบุในแถลงการณ์ฉบับล่าสุด ย้ำชัดว่าบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกหลาย ๆ ทางในการบรรจุขวดและการกระจายสินค้าในไทย

"เป๊ปซี่โคอยู่ในตลาดไทยมายาวนาน และจะยังอยู่ต่อไป เรามุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจในไทย และต่อชาวไทยนับล้านคนที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของเรา ขอให้มั่นใจได้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ของเราให้บริโภคต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต"

นั่นหมายถึงกรณี Worst Case ที่ไม่สามารถต่อรองกับทางเสริมสุขได้ หรือพูดง่าย ๆ คือไม่สามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้อีกแล้ว ยักษ์ใหญ่อย่างเป๊ปซี่ซึ่งพร้อมด้วยสรรพกำลังต่าง ๆ ทั้งเงินทุน โนว์ฮาว แบรนด์สินค้าก็เตรียมหาทางหนีทีไล่ของตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว

อาจเป็นการหาพันธมิตรด้านการผลิต และโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ ที่สามารถรองรับไซซ์ธุรกิจของเป๊ปซี่ได้ หรือก็อาจจะเป็นโมเดลการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เป็นไปได้ทุกหนทาง

แต่แม้วันนี้เป๊ปซี่จะเลือกเดินทางไหน ก็ดูเหมือนว่าหนทางนั้นจะเป็นคนละเส้นกับทางฝั่งผู้ถือหุ้นคนไทยในเสริมสุข

งานนี้ไม่พ้นต้องจบลงที่ "ทางใครทางมัน" ใครจะยื้อได้นานที่สุด และใครกันที่จะสามารถยึดครอง "เสริมสุข" เบอร์ 1 ดิสทริบิวเตอร์ และผู้นำระบบ โลจิสติกส์เครื่องดื่มเมืองไทยได้สำเร็จ

No comments:

Post a Comment