Friday 13 May 2011

"ยูนิฟ"จัดทัพหวนรุกตลาดรอบใหม่ เร่งเครื่องนวัตกรรมดันน้ำผลไม้-ชา-กาแฟสู่ท็อปทรี

"ยูนิฟ" หวนรุกตลาดครั้งใหม่ หลัง ตั้งหลักได้แล้ว เริ่มคลำทางถูก ไม่แตกไลน์พร่ำเพรื่อ เน้นทำตลาด 3 กลุ่มหลัก ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เดินหน้าออกสินค้าใหม่สร้างความแข็งแกร่ง เจาะทั้งตลาดแมส พรีเมี่ยม เพิ่มงบฯตลาด 80% บุกหนักทั้งปี พร้อมลงทุนขยายไลน์ผลิตใหม่ ชูกลุ่มชา-กาแฟพรีเมี่ยมหัวหอก อุดช่องโหว่เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนโชห่วยต่างจังหวัด ออกสินค้าอีโคโนมีเจาะคนกำลังซื้อน้อย มั่นใจปีนี้โต 73%


การแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มรุนแรงขึ้นทุกขณะ และมีการแตกเซ็กเมนต์ย่อยออกมาเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น หากสังเกตจะเห็นว่าตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมามีเครื่องดื่มใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้เล่น หลัก ๆ ต่างก็พยายามปกป้องส่วนแบ่งตลาดของตัวเอง และขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมผู้บริโภคในวงกว้าง "ยูนิฟ" เป็นอีกแบรนด์ที่มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างยิ่งตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งเริ่มเห็นชัดว่าผู้ประกอบการจากไต้หวันรายนี้พร้อมกลับมาโลดแล่นในวงการอีกครั้ง



กลับมาลงทุน-ทุ่มงบฯไม่อั้น

นายธรรมศักดิ์ เอกมโนชัย ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยูนิ-เพส ซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันยูนิฟอยู่ในช่วงการกลับมาลงทุนใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นการกลับมาตั้งหลักใหม่ หลังจากเสียส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มชาเขียวเมื่อหลายปีก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว บริษัทเดินหน้า เปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 60% และปีนี้ตั้งเป้าโต 73% เฉพาะไตรมาส 1 ยอดจากสินค้าใหม่ อาทิ ยูนิฟที บาเล่ ชาชัก, ชานมโกโก้ และอาฮ่า เชฟ มี อัพ รวมถึงแบรนด์น้ำผลไม้ "ออล ยูนี้ด" ที่เปิดตัวเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% และถือว่าแนวทางการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทเดินมาถูกทาง ตลอดปีนี้จะใช้งบฯการตลาดถึง 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 80% และจะลงทุนขยายไลน์การผลิตขวดเพต ซึ่งจะติดตั้งเครื่องในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต



ยูนิฟรีเทิร์นลั่นขึ้นท็อปทรีทุกกลุ่ม

นโยบายของบริษัทตลอด 3 ปี คือ ตั้งแต่ 2553-2555 จะเดินหน้าออกสินค้าใหม่เพื่อเติมเต็มพอร์ตเครื่องดื่มทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ น้ำผลไม้, ชา และกาแฟ เพื่อผลักดันเครื่องดื่มทั้ง 3 กลุ่มให้กลับมาเป็นติดท็อปทรีในแต่ละตลาดอีกครั้ง ขณะที่แผนดำเนินธุรกิจหลังจากปี 2555 คือเริ่มแตกไลน์ไปสู่เครื่องดื่มประเภท อื่น ๆ ขณะที่ 3 ตลาดที่บริษัทเลือกลงเล่นขณะนี้ล้วนเป็นตลาดเครื่องดื่มหลัก ที่ล้วนมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท

"แนวทางการออกสินค้าใหม่นั้น สินค้าต้องมีจุดต่างจากเครื่องดื่มแบรนด์อื่นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน หากเจาะกลุ่มพรีเมี่ยม ก็ต้องตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและความสะดวกเป็นหลัก"

ปัจจุบัน น้ำผลไม้ยังเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทที่ 65% ตามด้วยชาที่ 32% และกาแฟ 3% โดยยูนิฟยังมีความแข็งแกร่งในตลาดน้ำผลไม้ ปัจจุบันอยู่อันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 12% รองจากทิปโก้ 15% และโคคา- โคลา เจ้าของแบรนด์ "มินิทเมด พัลพิ" และ "สแปลช" ที่มีส่วนแบ่งรวมกันกว่า 12% จากส่วนแบ่งตลาดที่ห่างกัน เล็กน้อย บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถแซงขึ้นเป็นอันดับ 2 ได้ภายในปีนี้ และอีก 1-2 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดน้ำผลไม้ได้สำเร็จ ส่วนกลุ่มกาแฟและชา คาดว่ายังต้องใช้เวลา ปัจจุบันชาพร้อมดื่มยูนิฟ ประกอบด้วยแบรนด์ยูนิฟที และยูนิฟที บาเล่ มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 เป็นรองโออิชิ เพียวริคุ และลิปตัน

ชู "ชา-กาแฟ" พรีเมี่ยมเรือธง

นายธรรมศักดิ์กล่าวว่า สำหรับสินค้าแฟลกชิปในปีนี้จะเน้นไปที่กลุ่มชา-กาแฟระดับพรีเมี่ยม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้ง 2 กลุ่มมากขึ้น ตั้งแต่ต้นปีได้เปิดตัวยูนิฟที บาเล่ ชาชัก และชานมโกโก้ เจาะกลุ่มคนออฟฟิศที่นิยมดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ ด้วยการชูเรื่องความสะดวกและรสชาติที่แตกต่างเป็นจุดขายในราคาที่ใกล้เคียงกัน และได้นำ "ใบเฟิร์น" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หวังเจาะกลุ่มหนุ่มสาวออฟฟิศ ซึ่งโฆษณาจะเปิดตัวช่วงเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยังได้เปิดตัวกาแฟพร้อมดื่มระดับพรีเมี่ยม "อาฮ่า เชฟ มี อัพ" ราคา 20 บาท มีจุดขายที่แตกต่างคือไขมัน 0% ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวในตลาด

"การเปิดตัวเชฟ มี อัพ หลังแบรนด์ "วีสลิม" ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเซเว่นฯ ที่มีจุดขายใกล้เคียงกันในเรื่องการดูแลรูปร่าง อาจส่งผลกระทบต่อตัวสินค้าบ้าง แต่เชื่อว่าสินค้ามีจุดขายชัดเจนเรื่องไขมัน 0% ซึ่งเป็นจุดที่วีสลิมไม่มี"

ส่งสินค้าเจาะตลาดแมส

โดยกลยุทธ์ของยูนิฟ จะวางสัดส่วนของกลุ่มพรีเมี่ยมและแมสในเครื่องดื่มแต่ละกลุ่มให้ใกล้เคียงกัน เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้วที่ได้เปิดตัวน้ำผักผลไม้ระดับพรีเมี่ยม "ออล ยู นี้ด" (all you need) ราคา 25 บาท ล่าสุด ได้เปิดตัวน้ำผลไม้ 12% เจาะตลาดอีโคโนมี แบรนด์ ดีด๊า ราคา 10 บาท เพื่อบุกต่างจังหวัด โดยเฉพาะ ขณะที่กลุ่มกาแฟ ปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวแบรนด์ "มาสเตอร์" กาแฟบรรจุกล่อง ราคา 10 บาท เพื่อเจาะตลาดแมสเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับกลุ่มชาตั้งแต่ปีก่อน ได้ปรับไซซ์เหลือ 350 ม.ล. ราคา 10 บาท ในร้านค้าทั่วไป และ 12 บาท ในโมเดิร์นเทรด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก

"นอกจากกลุ่มพรีเมี่ยม เราต้องการเจาะร้านค้าในต่างจังหวัดมากขึ้น การจะขยายไปได้ เราต้องมีสินค้าอีโคโนมีที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ เป็นเหตุผลตั้งแต่ปีก่อน ที่เราต้องเปิดเซ็กเมนต์ใหม่ เจาะตลาดแมส เพื่อปูพรมไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น"

นายธรรมศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมา ช่องทางเทรดิชั่นนอลเทรด ถือเป็นจุดอ่อนของบริษัทก็ว่าได้ ปัจจุบัน สามารถครอบคลุมช่องทางร้านค้า หรือโชห่วยทั่วประเทศได้กว่า 10% เท่านั้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ครอบคลุมเพียงหัวเมืองใหญ่ ขณะที่สัดส่วนรายได้จากเทรดิชั่นนอลเทรดปัจจุบัน แบ่งเป็นกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 50:50 โดยตั้งเป้าภายใน 2 ปี จะเพิ่มสัดส่วนใน ต่างจังหวัดเป็น 80%

No comments:

Post a Comment