ตลาด น้ำอัดลมมูลค่า 4
หมื่นล้านบาท ขณะนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ "ท็อปทรี" ทั้งเป๊ปซี่
โค้ก และบิ๊กโคล่า ต่างมี "การปรับเปลี่ยน" ครั้งใหญ่
ถึงขนาดที่ว่าอาจสามารถ "ชี้เป็น ชี้ตาย"
ความเป็นไปและอันดับทางการตลาดของน้ำอัดลมเมืองไทยหลังจากนี้
อย่าง
ที่รู้กันว่าสำหรับเป๊ปซี่แล้ว นับจากทำตลาดในไทยมากว่า 50 ปี
ไม่มีปีไหนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแบบ "ยกเครื่อง" ขนาดนี้
เป๊ปซี่ต้องเริ่ม "นับหนึ่งใหม่" ในการทำธุรกิจ หลังจากสิ้นสุดสัญญากับ
"เสริมสุข" ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
ขณะที่โค้ก นอกจากมีการตั้งแผนกเครื่องดื่มไม่อัดลมออกมาต่างหากแล้ว
ก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารที่เข้ามารับผิดชอบดูแลกลุ่มน้ำอัดลม
รวมถึงยกเครื่องแผนดำเนินธุรกิจหันมาทำตลาดแบบเชิงรุก
เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด
ในจังหวะที่เป๊ปซี่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่ในขณะนี้
เป้า หมายของโค้กก็คือขึ้นเป็นเบอร์
111 เหมือนที่ทำได้ในประเทศอื่นๆ ซึ่งสามารถครองความเป็นผู้นำได้อย่างเบ็ดเสร็จ
รวมถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นบริษัทแม่
ต้นกำเนิดน้ำอัดลมที่ปัจจุบันสามารถผลักแบรนด์ "เป๊ปซี่"
ตกอันดับไปอยู่ที่ 3 ของตลาดได้สำเร็จ เมื่อไดเอทโค้ก สามารถขึ้นแซงเป็นที่ 2 ได้ตั้งแต่ปี
2553
วันนี้สถานการณ์ในไทยก็ดูจะเป็นใจให้กับน้ำอัดลมเบอร์
1 ของโลกรายนี้อย่างยิ่ง
แหล่ง
ข่าวในวงการน้ำอัดลมระบุว่า ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดของโค้ก และเป๊ปซี่
ในช่องทางร้านค้าที่ไม่นับรวมร้านอาหาร ถือว่าสูสีกันอย่างยิ่ง
"แต่ก่อนทั้งคู่ห่างกันพอสมควร
แต่วันนี้เบอร์ 1 ส่วนแบ่งตลาดตกลงมา ขณะที่โค้กก็มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ"
แต่ จริง ๆ
แล้วแรงกดดันของเป๊ปซี่ ไม่ได้มีแค่โค้กเท่านั้น เพราะวันนี้ "ศึกหนัก"
ที่ยักษ์ใหญ่รายนี้ต้องเผชิญ ยังมีแบรนด์อันดับ 3 "บิ๊กโคล่า"
แบรนด์น้ำอัดลมจากประเทศเปรู ที่เข้าสู่ตลาดไทยมานาน 4 ปี
ที่นับวันก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ
ล่าสุดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ของ "อาเจ กรุ๊ป" ยักษ์เครื่องดื่มจากละตินอเมริการายนี้คือ การทุ่มงบฯ
500 ล้านบาท ปรับโฉมบิ๊กโคล่า ทั้งการปรับแพ็กเกจจิ้ง และโลโก้ทั่วเอเชีย
เพื่อยกภาพลักษณ์และตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่
หลังจากมีการรีแบรนดิ้งมาก่อนหน้านี้ที่ละตินอเมริกา
สิ่งที่น่าจับ ตาที่สุดของ
"บิ๊กมูฟ" ครั้งนี้คือ
ปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นฐานธุรกิจที่สำคัญที่สุดของแบรนด์ "บิ๊กโคล่า"
โดยมียอดขายขึ้นแซงเม็กซิโก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ดังนั้นแทบไม่ต้องเดาว่าหลังจากนี้
ทางอาเจ กรุ๊ป จะมีการทุ่มสรรพกำลังทุกอย่างลงมาที่ตลาดไทยมากขนาดไหน
"ฆอร์เก้ โลเปซ
ดอริกา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ กรุ๊ป ระบุว่า
บิ๊กโคล่าเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดเพียง 12 ปี แต่สามารถขึ้นเป็นอันดับ 2 และ 3
ของทุกประเทศที่บริษัทเข้าไปทำตลาด ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 ประเทศ
แบ่งเป็นละตินอเมริกา 16 ประเทศ และเอเชีย 4 ประเทศ
"แผนธุรกิจของเราจากนี้คือการโฟกัสในเอเชีย
ที่มีการเติบโตอย่างมากทั้ง 4 ประเทศ โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้
บิ๊กโคล่าในอินเดียมีการเติบโต 300% อินโดนีเซีย 400% ไทย 38% และเวียดนาม
30%"
ด้าน "วิทยา
ลิมปิวัฒนาภรณ์" ผู้จัดการฝ่ายการตลาด อาเจ ไทย ระบุว่า
ปัจจุบันบิ๊กโคล่ามีส่วนแบ่งตลาด 18% จากมูลค่าตลาด 40,000 ล้านบาท
และตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาดเกิน 20%ในปีนี้และ
เป็นเบอร์ 2 อีกใน 5 ปีข้างหน้า
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นเราจะแซงใคร เป๊ปซี่ หรือโค้ก
นอกจากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแต่ละค่ายแล้ว
ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ในปีนี้ที่อาจส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของแต่ละค่าย
"เรา
เป็นแบรนด์ที่วางนโยบายเรื่องคุ้มค่าคุ้มราคา ทำให้เป็นโอกาสสำหรับช่วงยุคข้าวยากหมากแพงในขณะนี้
เห็นชัดจากการเติบโตของเราในช่วงที่ผ่านมา" รวมถึง "บิ๊กอีเวนต์"
กีฬาที่จะเกิดขึ้นทั้ง "ฟุตบอลยูโร 2012" และ "โอลิมปิก"
ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งได้ เมื่อทั้ง 3 ค่ายทั้งเป๊ปซี่ โค้ก และบิ๊กโคล่า
ต่างเดินหน้า "สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง" แบบเต็มสตรีม
เป็นปีแห่งการ
"เปิดศักราชใหม่" ที่ยังเดาไม่ถูกว่า ใครจะขึ้น ใครจะลง
ต้องติดตาม
No comments:
Post a Comment