ยักษ์สินค้าอุปโภคบริโภคไทยดาหน้าบุกประเทศเพื่อนบ้านรับเออีซี
"สหพัฒน์" ส่งมือดี "สันติ วิลาสศักดานนท์" ดูลู่ทางลงทุนพม่า
"ตรางู" ตั้งบริษัทใหม่รับตลาดเสรี "เบอร์ลี่ยุคเกอร์"
ทุ่มเจาะเวียดนามผุดโรงงานแก้ว ด้าน "สิงห์"
ประเดิมตั้งทีมเฉพาะกิจบุกอินโดจีน นายกสมาคมตลาดชี้ "พม่า" ดาวรุ่ง
แนะธุรกิจไทยเร่งลงทุนปีนี้ก่อนเปิดประเทศเหตุต้นทุนต่ำ
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
หรือเออีซี ที่จะเริ่มเปิดเสรีอย่างเป็นทางการในปี 2558 ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ
ของทุกประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่เรียกว่ามีธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับแนวหน้าอยู่เป็นจำนวนมากที่มีความพร้อมทั้งเงินลงทุน
บุคลากร เทคโนโลยีต่าง ๆ ถึงชั่วโมงนี้เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวชัดเจนมากขึ้น
โดยเฉพาะค่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่สัญชาติไทย 4 ค่ายยักษ์
ที่ประกาศนโยบายอย่างชัดเจนที่จะกระโดดเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ประกอบด้วย
เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ของเจริญ สิริวัฒนภักดี กลุ่มสหพัฒน์ โอสถสภา และเบียร์สิงห์
เบอร์ลี่
ยุคเกอร์ทุ่มเจาะเวียดนาม
รายงานข่าวจากบริษัท เบอร์ลี่
ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ OWENS-ILLINOIS
(O-I) และ Saigon beer Alcohol Beverage Company (SABECO) เตรียมเปิดโรงงานผลิตแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
เพื่อผลิตขวดแก้วสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ
เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร โดย นายเจริญ สิริวัฒนภักดี
จะเดินทางไปร่วมพิธีเปิดโรงงานในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้
ซึ่งก่อนหน้าบีเจซีได้เข้าไปลงทุนในเวียดนามตั้งโรงงานผลิตกระดาษชำระและโรงงานผลิตกระป๋องอะลูมิเนียม
เมื่อปี 2553
บีเจซียังได้เข้าร่วมทุนกับ
"ไทยคอร์ปกรุ๊ป"ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเวียดนาม
มีมูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เป็นการเตรียมให้บริการด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแก่ผู้ประกอบการไทยที่จะขยายตลาดไปในอินโดจีน
นอกจากนี้บีเจซีได้ตั้งบริษัท
บีเจซี กล๊าส เวียดนาม ลิมิเต็ด ในเวียดนาม เมื่อต้นปี 2553
เพื่อสร้างโรงงานผลิตและจำหน่ายขวดแก้ว มูลค่าการลงทุน 52.74 ล้าน เหรียญสหรัฐ
แหล่งข่าวจากเบอร์ลี่
ยุคเกอร์กล่าวว่า
การลงทุนโรงงานแก้วและบรรจุภัณฑ์ในเวียดนามนี้นอกจากบีเจซีต้องการจะซัพพอร์ตตลาดเครื่องดื่ม
อุตสาหกรรมอาหารในเวียดนามที่กำลังเติบโตแล้ว
ยังต้องการจะใช้โรงงานดังกล่าวเป็นฐานในการส่งออกแก้วและบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ
ไปยังประเทศในกลุ่มอาฟต้าและเออีซี
สหพัฒน์-อังกฤษตรางู พร้อมบุก
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผย
"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เครือสหพัฒน์มองว่าเออีซีที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
จะเป็นโอกาสในการทำตลาดและลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้นทุกวันนี้ตลาดอาเซียนก็โตวันโตคืนและสามารถทดแทนยุโรปได้
สำหรับเครือสหพัฒน์ ประเทศที่สนใจเป็นพิเศษ คือ พม่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้นายสันติ
วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนา อินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด
(มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบเข้าไปดูแลโอกาสในการลงทุนต่าง ๆ ในพม่าอย่างเต็มที่
ซึ่งธุรกิจที่สนใจจะเข้าไปก็คือ กลุ่มอุปโภคบริโภค
และเพื่อรองรับการเปิดเออีซี
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นายบุณยสิทธิ์มีนโยบายให้บริษัทในเครือกวา 200
บริษัทเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
โดยให้แต่ละบริษัทเน้นสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองเพื่อรุกเข้าไปทำตลาดในอาเซียน
ล่าสุด นายอนุรุท ว่องวานิช
ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู ระบุว่า
นอกจากการเตรียมความพร้อมในแง่ขององค์กร
บริษัทยังได้ตั้งบริษัทใหม่เพื่อรองรับการขยายตลาดในอาเซียน ในนามบริษัท บีดี
เทรดดิ้ง จำกัด ทำหน้าที่เป็นเทรดดิ้งคอมปะนี จำหน่ายสินค้าของบริษัทในเครืออังกฤษตรางูและทำหน้าที่เป็นบริษัทร่วมทุนในกลุ่มประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง
จากนี้ไปการดำเนินธุรกิจจะมุ่งไปที่การจับมือกับพันธมิตรเพื่อบุกตลาดอาเซียน
ภายใต้โมเดลที่หลากกลายขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ รวมถึงการลงทุนใหม่ ๆ
และการลงทุนเพิ่มฐานการผลิตนอกประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
รายงานข่าวจากบริษัท โอสถสภา
อินเตอร์เนชันแนล จำกัด กล่าวว่า นอกจากเครื่องดื่มชูกำลัง เอ็ม-150
และเครื่องดื่มเกลือแร่ เอ็มสปอร์ต
ที่บริษัทส่งไปทำตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าวแล้ว ในช่วง 2-3
ปีมานี้บริษัทได้เริ่มนำแบรนด์เบบี้มายด์และทเวลฟ์พลัสไปทำตลาดทั้งในเวียดนามและกัมพูชา
ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่ยังไม่มี คู่แข่งมากนัก
การที่ค่ายใหญ่ให้ความสำคัญและขยายการรุกตลาดไปยังเวียดนามและกัมพูชามากขึ้น
หลัก ๆ มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยู่ในเกณฑ์สูงมาอย่างต่อเนื่อง และจำนวนประชากรที่มีสูงอย่างกรณีของเวียดนามที่มีประชากรมากกว่า
80 ล้านคน นอกจากนี้เวียดนามยังมีความสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ
มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาถูก
ส่วนกัมพูชาแม้จำนวนประชากรอาจจะมีไม่มากนัก
หรือประมาณ 31-32 ล้านคน แต่จากการเมืองที่มีเสถียรภาพและมีการปรับปรุงกฎหมายด้านเศรษฐกิจ
การเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างประเทศ
การเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น สนามบิน ถนน ไฟฟ้า ประปา
ทำให้นักลงทุนจากต่างประเทศทยอยเข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นและเป็นผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยูในเกณฑ์สูง
กระทิงแดงเข้มลดต้นทุนรับมือ
นายสราวุฒิ อยู่วิทยา
ประธานกรรมการ บริษัท เดอเบล จำกัด บริษัทในเครือกระทิงแดง เปิดเผยว่า
การเปิดเออีซีถือเป็นโอกาสการทำธุรกิจเปิดออกมากขึ้น สำหรับกระทิงแดงในแง่การ
แข่งขันระยะสั้นจะได้เปรียบด้วยราคาสินค้าที่ถูกกว่า
แต่ในระยะยาวจะเสียเปรียบได้ด้วยต้นทุนค่าแรงงานที่สู้ไม่ได้
ขณะนี้บริษัทจึงต้องเร่งลดต้นทุนด้าน ต่าง ๆ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพทุกเรื่อง
ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานอยู่แล้วที่จีน, อินโดนีเซีย, เวียดนาม
ซึ่งบริษัทมีเอเย่นต์ในต่างประเทศอยู่แล้ว
"โอกาสของเราสำหรับเออีซีเรา
มองโอกาสด้านการจัดจำหน่ายสินค้ามากกว่า
เพราะมีบริษัทจำนวนมากที่เข้ามาเปิดตลาดในไทยและต้องการหา
ดิสทริบิวเตอร์ในการขยายตลาด"
"พม่า"
โอกาสทองนักลงทุนไทย
นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์
ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า
บริษัทสนใจในการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมาหลายปีแล้ว
ถ้าพูดถึงประเทศที่น่าสนใจที่สุดตอนนี้คือ พม่า ที่มีแนวโน้มจะเปิดประเทศ
ทุกบริษัทมองเห็นโอกาส โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
ปัจจุบันบริษัทก็ทำอย่างเป็นระบบมากขึ้นในการรุกตลาดอินโดไชน่า โดยได้แต่งตั้ง
นายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์
เป็นผู้อำนวยการสายการตลาดภูมิภาค เพื่อมาดูแลตลาดในภูมิภาคโดยเฉพาะ
นายฉัตรชัยกล่าวว่า
การให้น้ำหนักกับประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น
เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมากทั้งในกัมพูชาหรือเวียดนาม
ซึ่งเป็นปัจจัยมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ
รวมทั้งจำนวนประชากรที่มีเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญก็คือการเปิดเขตการค้าเสรีจะทำให้อัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศสมาชิกทยอยลดลงเหลือ
0% ประกอบกับตลาดในประเทศมีแนวโน้มที่จะเติบโตไม่มาก
จึงเท่ากับเป็นการสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มอีกทางหนึ่ง
นายตุลย์ ศุภสวัสดิ์
นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แสดงทรรศนะว่า
กรณีของเออีซีขณะนี้มองว่าพม่าเป็นประเทศที่น่าสนใจที่สุด
และถือเป็นดาวรุ่งของอาเซียนซึ่งมีสัญญาณทางบวกเพิ่มมากขึ้น
เชื่อว่าจะมีการเปิดตลาดภายใน 1-2 ปีนี้ และไทยก็มีโอกาสสูงมาก เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ที่น่าสนใจก็คือ จำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย
ที่สำคัญคือ
พม่ายังเป็นประเทศที่มีต้นทุนทางการตลาดต่ำ
เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรทำให้บริษัทจากยุโรปและอเมริกาไม่สามารถเข้าไปทำตลาดในพม่าได้
และกลุ่มที่จะไปลงทุนหลัก ๆ จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
เพราะที่ผ่านมาพม่าเน้นการนำเข้าจากไทยเป็นหลัก
"หากบริษัทไทยรายไหนที่สนใจจะไปก็ควรจะไปตั้งแต่ตอนนี้
เพราะหากปีนี้หรือปีหน้า เมื่อเลิกมาตรการคว่ำบาตรแล้ว ยุโรป
อเมริกาจะสามารถเข้าไปในพม่าได้ ต้นทุนทางการตลาดต่าง ๆ ก็จะสูงขึ้น"
นายตุลย์กล่าว
No comments:
Post a Comment